วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

กรณี บนบานโรคระบาดเมืองสาย

กรณี บนบานโรคระบาดเมืองสาย 
อ้างอิงจาก หนังสือ ราชกิจจานุเบกษา วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2457
ลงตามเอกสาร อ้างอิง 
"ประกาศงดการใช้พระราชบัญญัติระงับโรคระบาด มณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลปัตตานี"
ตรงในสมัยของ เจ้าเมืองสายบุรี 
"พระยาสุริยสุนทรบวรภักดี ศรีมหารายา มัตตาอับดุล วิบูลย์ขอบเขตร์ ประเทศมลายู"
ไม่มีชื่อเมืองสายแปลว่า สถานการณ์ ในเมืองสายไม่มี ปัญหากรณีโรคระบาด 
นับแต่อดีตนั้น จวบจบ ปัจจุบัน นับได้ 102

(หนังสือ ราชกิจจานุเบกษา วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2457)

(จี้ทองคำ ประทานจากเจ้าพระยาเจ้าเมืองสาย)

ศาลาว่าการมลฑลปัตตานี


ศาลาว่าการมลฑลปัตตานี 
ข้างล่างดูเป็นไทย ข้างบนดูเป็นจีน

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

กล่าวถึงตือโป๊ยก่าย กับ หนึ่งในจอมพลจตุรเทพแห่งอุตระทิศ(จอมพลเทียนผง)

  
ภาพซ้าย : เทียนผ่งไต่หง่วนโส่ยจิ่นกุน (天蓬大元帥真君) ตามคติศาสนาเต๋า
ภาพขวา : ตัวละคร ตือโป๊ยก่าย (猪八戒) ในนิยายห้องสินจตุอริยะแห่งอุตรทิศ 四聖真君/北極四聖 ซูเส่งจิ่นกุน / ปักเก็กซูเส่ง
จุตุรจอมทัพแห่งอุตรทิศ 北方四元帥 ปักฮ่องซูหง่วนโส่ย
มีด้วยกัน 4 องค์ ดังนี้
อันดับ 1. 天蓬大元帥真君 เทียนผ่งไต่หง่วนโส่ยจิ่นกุ
อันดับ 2. 天猷副元帥真君 เทียนอิ่วฮู่หง่วนโส่ยจิ่นกุน
อันดับ 3. 翊聖保德儲慶真君 เอี๊ยกเส่งโป้เต็กถู๋เค่งจิ่นกุน
อันดับ 4. 真武靈應佑聖真君 จิ่นบู้เหล่งเอ่งอิ่วเส่งจิ่นกุน


เพื่อความเข้าใจตรงกัน
เทียนผ่งไต่หง่วนโส่ยจิ่นกุน ไม่ใช่ ตือโป้ยไก่(ตูหงอเหนง)
เทียนผ่งไต่หง่วนโส่ยจิ่นกุน ไม่เคย ลงมาจุติบนโลกมนุษย์
เทียนผ่งไต่หง่วนโส่ยจิ่นกุน ไม่เคย แย้งนางฟ้าแห่งดวงจันทร์
เทียนผ่งไต่หง่วนโส่ยจิ่นกุน ไม่ได้ มีร่างสภาวะเป็นสุกร

เทียนผ่งไต่หง่วนโส่ยจิ่นกุน เป็นเทพ ประธานกลุ่ม จตุอริยะแห่งอุตรทิศ
เทียนผ่งไต่หง่วนโส่ยจิ่นกุน เป็นเทพ ชั้นผู้ใหญ่ สูงกว่า เฮี่ยนเทียนส่องเต่
เทียนผ่งไต่หง่วนโส่ยจิ่นกุน เป็นเทพ ผู้เป็นราชองค์รักษ์แห่งต้าวโบ้หง่วนกุน และกิ้วหองไต่เต่
เทียนผ่งไต่หง่วนโส่ยจิ่นกุน เป็นเทพ ปราบมาร มหิธานุภาพสูง

เพื่อความสมควร ควรงดเว้น กล่าวนามแห่งท่านร่วมกับ นามตือโป้ยไก่
เพื่อความสมควร ควรงดเว้น การบูชาพระนามของท่านในรูปลักษณ์สุกร
เพื่อความสมควร ควรงดเว้น การกล่าวว่าองค์ท่านเป็นตือโป้ยไก่
เพื่อความสมควร ควรงดเว้น การเชื่อเรื่องราวต่างๆที่นอกเหนือคัมภีร์อันถูกต้อง

อันทั้งสิ้นเป็นการกระทำมิเหมาะสมในการจาบจวงเทพเจ้าและบริวารเทพเจ้า ที่เหล่าท่านยึดถือ 
จึงขออธิบายความ ข้างต้นเพื่อโปรดทราบและทำความเข้าใจต่อเทพเจ้าพระองค์นี้ 
ด้วยความเคารพ ในทุกท่านครับ


"ข้อมูลข้างล่างนี้ จากนักพรตเฉินครับ"神霄雷霆的主帥แม่ทัพแห่งทหารอัสนีบาตเสินเซียว ได้แก่ 
เทียนเผิง 天蓬 (ซ้ายบนของภาพ มี4เศียร 8 กรถือพระอาทิตย์ และพระจันทร์) 
เทียนโย่ว天猷 (ขวาบนของรูป มี 3 เศียร 6กร )
อี่เซิ่ง翊聖(กลางขวาถือกระบองปล้องมี3ตา หน้าจะคล้ายเทพเจินหวู่) 
เสวียนหวู่玄武(กลางซ้ายถือกระบี่) "สี่ขุนพลสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่四大元帥" 
เรียกรวมกันว่า"เป่ยจี๋ซื่อเซิ่ง北極四聖" "จตุอริยะแห่งแดนเหนือ" คัมภีร์รวมวิชาเต๋า"เต้าฝ่าฮุ่ยหยวน《道法會元》"บทที่หนึ่งร้อยหกสิบเก้า กล่าวว่า
อันจุตรอริยะจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ เปี่ยมด้วยคุณธรรมอันวิเศษท่วมท้นทั้งสามภพ 
สำแดงพระเดชานุภาพในแดนทั้งแปด คือแม่ทัพแห่งดาวกางแห่งทิศเหนือ 
คือเทพมหาบุรุษแห่งราชธิราชแดนเหนือ ดูแลทหารสวรรค์เทียนติงแห่งสวรรค์ทั้งสี่ 
เรียกตรวจสอบเหล่าผีและมาร
夫四聖元帥者,妙德貫於三界,威靈建乎八弦,為斗罡之大帥,實北帝之雄神,部轄四天丁,考召諸魔鬼。”

เพลงที่ถูกเปิด เข้าหูตั้งแต่สมัยเด็ก

เพลงที่ถูกเปิด เข้าหูตั้งแต่สมัยเด็ก
จนชอบ ตราบจนปัจจุบัน




บรมศาสดาเต๋าศาสนสมภพ

เฉลิมพระเทวคุณ บรมศาสดาเต๋าศาสนสมภพ ไท่ซ่างเหล่าจวิน
จันทรคติ ปีที่ ๒๕๘๗
วันที่ ๑๕ เดือน ๒ เต๋าศาสนศักราช ๔๑๑๘
วันที่ ๒๓ เดือน มีนาคม

ตาวาริกฮ์ นครา บังสา

เอกสาร มลายู กล่าวถึง เมืองในแหลมมลายู
ตาวาริกฮ์ นครา บังสา (Tawarikh Negara Bangsa) ดังนี้ 

1. บูกิต ตองกา ตาลัง / ตันจัง ซาลัง -----(ภูเก็ต)
2. ยาลา -----(ยะลา)
3. เบอตุง -----(เบตง)
4. เบอนัง เซอตา -----(บันนังสตาร์)
5.เรอมัน -----(รามัน)
6. กาบัย / กาเบ่ -----(กาบัง)
7. กำปง ปีนัง -----(กรงปีนัง)
8. เมอนารา -----(นราธิวาส)
9. ตาบาล์ -----(ตากใบ)
10 รูซอ -----(รือเสาะ)
11. ซูนไงโกลก -----(สุไหงโกลก)
12. ซูนไงปาดี -----(สุไหงปาดี)
13. ตันยงมัส----- (ตันหยงมัส)
14. บูกิตตา -----(บูกิตตาร์)
15. ปันไตอินี -----(ปัตตานี)
16. เซอลินดง บายู / เตอลูบัน -----(สายบุรี)
17. ยาริง -----(ยะหริ่ง)
18. เกอร์ซิก -----(กรือแซะ)
19. เปอนาริก -----(ปะนาเระ)
20 จารัง / บันไจ ลิมา----- (ยะรัง)
21. ซิงโกรา / เบอรามาซัด / บันดา ซิงกา----- (สงขลา)
22. เจอน็ก----- (จะนะ)
23. นาวี -----(นาทวี)
24. ตีบา -----(เทพา)
25. ซาบายู -----(สบาย้อย)
26. รานอต -----(ระโนด)
27. เซินดูวา -----(สะเดา)
28. ปันไต บิสมิลลาห์ -----(สมิหรา)
29. เซอตูล ------(สตูล)
30. ดูซัน -----(ควนโดน)
31. ปันงาห์ / กัวลา บังงา -----(พังงา)
32. ปูเลา เซิมบิลัน -----(สิมิลัน)
33. ปุเลา ปันยี -----(ปันหยี)
34. ปูเลา ปีอาปี -----(พีพี)
35. กูปา -----(ตะกั่วป่า)
36. เปอดาลง / เมอร์เดอลง -----(พัทลุง)
37. เตอรัง -----(ตรัง)
38. รุนดุง -----(ระนอง)
39. กะราไรบี -----(กระบี่)
40. ชาฮายา -----(ไชยา)
41. นาการา ซะรี ดาร์มารายา / บันดา ซะรี รายาดามา / ตัมบราลิงกา / ลิกอร์ -----(นครศรีธรรมราช)
 — 

กิมเปี่ยน (ป้ายทองสรรเสริญ) เล่าเอี่ยก๊อง

รวมอายุ นับแต่ 2383 - ปัจจุบัน "175 ปี"


กิมเปี่ยน (ป้ายทองสรรเสริญ) เล่าเอี่ยก๊อง
อิ่วกี๋วเจียกเอี่ยง (วอนขอย่อมสำเร็จสมดังปราถนา) 有求則應
สร้างถวาย ใน
ปีหนูทอง ฤดูใบไม้ผลิ (庚子年季春敬奉)
ตรงกับ ปีรัชศกเต้ากวง เป็นปีที่ 20 ของการครองราชสมบัติ ของจักรพรรดิเต้ากวง (ชิงเซวียนจง) แห่งราชวงศ์ชิง 清道光庚子年(1840年)
ตรงกับปีคริสต์ศักราช 1840 1840年)
ตรงกับพุทธศักราช 2383 2383年)
นามผู้สร้างถวาย อึ่งเหลี่ยนจู (黃蓮書)
รวมอายุ นับแต่ 2383 - ปัจจุบัน "175 ปี"
ขอขอบคุณ คุณธีร์ โสตสิทธิกำแหง ในการให้ข้อมูลอักษรจีนครับ
ขอบคุณ คุณวีรพัฒน์ แก้วเพชร ที่ช่วยไปถ่ายรูปที่ศาลเจ้ามาให้
จึงขอแจกแจงข้อมูล ตามบทความข้างต้นนี้

ด้วยความเคารพ หลินหมิงทง (ทนากร สุนทรากร)

ประวัติความเป็นมา ของเทพเจ้าตี่ฮู้อ่องเอี่ย แห่งศาลเจ้า ซิ่นเฮงเกียง ตี่ฮู้อ่องเอี่ยเบ้ว หมู่บ้านบางตะโล๊ะ

ประวัติความเป็นมา ของเทพเจ้าตี่ฮู้อ่องเอี่ย แห่งศาลเจ้า ซิ่นเฮงเกียง ตี่ฮู้อ่องเอี่ยเบ้ว หมู่บ้านบางตะโล๊ะ

21 พฤษภาคม 2011 เวลา 19:51 น.
ขออนุญาต คัดลอกจากหนังสือชีวประวัติ เจ้าพ่่อเล่าเอี่ยก๊ง และทำการปรับปรุงเรียบเรียง  คำเสีย บางตอนเพื่อให้ ง่ายต่อความเข้าใจ

(รูปที่1 เทพเจ้าตี่ฮู้อ่องเอี่ย)
(รูปที่1 เทพเจ้าตี่ฮู้อ่องเอี่ย)


 นับเป็นช่วงอายุคน ก็กว่า 5 ชั่วคนมาแล้ว ได้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมาในหมู่บ้านบางตะโล๊ะ ซึ่งมีชาวไทยพุทธและชาวไทยเชื่อสายจีน อยู่อาศัยเป็นส่วนมาก และมีหมู่บ้านไกล้เคียงเป็นชาวมุสลิม อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล ประกอบอาชีพประมงชายฝั่ง (อวนทับตลิ่ง) เรื่องราวได้เกิดขึ้นเมื่อบิดานายคง ซึ้งเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน ได้ไปขอปลาชาวมุสลิมที่ได้ประกอบอาชีพประมงชายฝั่ง ได้เิกิดมีเทวรูปเทพเจ้าจีนอวนขึ้นมาด้วย
เมื่อชาวมุสลิมเห็นดังนั้น จึงเรียกบิดานายคง ให้มาช่วยเอาเทวรูปจีนออกจากอวนนั้นเสีย เมื่อบิดานายคงมองเห็นเทวรูปเทพเจ้าจีน ซึ่งมีหอย เพรียงเกาะติดตามองค์เทวรูปเต็มไปหมด บิดานายคงได้อุ้มเทวรูปเทพเจ้าจีนขึ้นมา ทันทีที่ได้อุ้มเทวรูปเทพเจ้าจีนขึ้นมานั้น บิดานายคงลืมตัวว่าตัวเองเป็นคุดทะราด เหมือนมีสิ่งที่มองไม่เห็นเข้าประทับร่างจึงกอดเทวรูปเทพเจ้าจีนไว้แน่นแล้ววิ่งย่ำบนกอหญ้าลูกลมที่มีความแหลมคมมาก โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่ประการใดแต่ตนยังคงอุ้มเทวรูปเทพเจ้าจีนวิ่งลุยดงหญ้าลูกลมจุนเกิดบาดแผลเลือดไหลและได้วิ่งลงคลองข้ามฝั่งมายังหมู่บ้านบางตะโล๊ะ และได้นำเทวรูปเทพเจ้าจีนองค์นั้นวางไว้ที่กอเตย ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบันของศาลเจ้านั้นเอง และได้ไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านในขณะนั้น คือแปะตัน
เมื่อแปะตันทราบขาวก็ได้เกณฑ์ชาวบ้านมาดู แกะหอยเพรียงที่เกาะตามองค์เทวรูปเทพเจ้าจีนออก และได้ นำมาวางไว้ ณปะรำพิธี รมกำยาน ธูปและประโคมล่อก๊อ   เพื่อให้ทิพยญาณของเทพเจ้ามาสถิตย์   ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ปะรำพิธีเกิดสั่นคอลอนขึ้นมา   แปะตันเห็นดังนั้นจึงได้สร้างศาลเจ้าชั่วคราวขึ้นมาเพื่อประดิษฐานเทวรูปเทพเจ้าจีนองค์นั้น   หลังจากนั้นไม่นานนัก อาการเจ็บปวดเรื่อรังจากคุดทะราดของบิดานายคงได้หายไปอย่างปลิดทิ้ง
หากมีผู้ใดเจ็บป่วยไปบนขอ ก็จะหายป่วยตามคำบนบาน เกิดเป็นปาฏิหาริย์ไปทั่วสารทิศ   โดยเฉพาะชาวบ้านที่อยู่อาศัยอยู่ตามระแวกไกล้เคียงได้เกิดเลื่อมใสพากันมากราบไหว้บูชากันไม่ขาดสาย แม่นจะบนบานเรื่องอะไรก็จะสัมฤทธิ์ผลตามปราถนา

(รูปที่2 ป้ายศาลเจ้า จารึกชื่อศาลเจ้าไว้ว่า ซิ่นเฮงเกียง)
(รูปที่2 ป้ายศาลเจ้า จารึกชื่อศาลเจ้าไว้ว่า ซิ่นเฮงเกียง)

หากประสบเคราะห์ภัยร้ายแรง เช่นว่า เรือเดินทะเลประสบคลื่นลมพายุ เมื่อนึกถึงท่านลมพายุจะสงบลงทันตา   บรรดาโรคระบาด สมัยนั้นเรียกว่าห่า  เช่นไข้ทรพิษ อหิวาต์ ที่ได้ฉุดคร่าผู้คนหมู่บ้านไกล้เคียงไปมากแต่กลับไม่ส่งผลให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบริเวณไกล้เคียงศาลเจ้ารวมถึงผู้ที่เคารพบูชา   โรคร้ายเหล่านั้นก็ไม่กล่ำกรายเข้ามาทำร้ายได้ ทำให้ผู้คนเคารพนับถือองค์ท่านมากขึ้นเป็นเท่าทวี
ล่วงรู้ไปถึงเจ้าพระยาครองเมืองสาย(ชาวมุสลิม)  ในสมัยนั้นยังเป็นระบบการปกครองโดยมีผู้มีบารมีหรือเชื้อวงศ์ เจ้าพระยาหรือเจ้าครองเมืองอยู่ เรียกกันว่า พระยาแขก  ท่านได้มา  บนบานศาลกล่าว และคำขอสัมฤทธิ์ผลจึงได้มอง จี้ทองคำ รูปพระจันทร์เสี่ยวดวงดาว ให้แก่ท่าน

(รูปที่3 จี้ ทองคำ ดาวพระจันทร์เสี้ยว)
(รูปที่3 จี้ ทองคำ ดาวพระจันทร์เสี้ยว)

ต่อมาได้มีผู้รู้ประวัติและความเป็นมาของท่านได้ กล่าวว่านเทะเจ้าองค์นี้คือ องค์ ตี่ฮู้อ่องเอี่ย หรือ องค์เล่าเอี่ยก๊ง ที่คนสายบุรีทั่วไปรู้จักกัน
เมื่อล่วงถึงสมัยของเก่าเก่ เอ่งวัฒน์  แปะตันและเถ่าเก่เองวัฒน์ได้ร่วมมือกับชาวบ้านศร้างศาลเจ้าถาวรขึ้น  เพื่อประดิษฐานองค์ท่าน และได้แกะเทพเจ้าภายในศาลเจ้าขึ้นมาเพิ่มเติม คือ 1.ปุ่นท่าวก๊ง  2.ม่าจ้อโป่ 3.ฮู่จ้อ(กวนอิม)  แล้วจัดให้มีการพิธีเฉลิมฉลองขึ้นมาในทุกปี  สมัยก่อนจะมีม้าทรง ไต่บันไดดาบ เชือดลิ้นแปะกระดาษยันต์แดง  แล้วโปรยลงมาจากบันไดดาบ  เอากระบีฟันตามร่างกาย เอาลูกหนามทองเหลืองฟาดไปตามตัว

(รูปที่4 กระบี่ และแซ่ ของเก่า)
(รูปที่4 กระบี่ และแซ่ ของเก่า)

รายชื่อม้าทรงตี่ฮู้อ่องเอี่ย ของศาลเจ้า สืบต่อกันมา 4 รุ่น
1.ตั่งกี่ลู้
2.ตั่งกี่วัฒน์
3.ตั่งกี่แปะจี้
4.ตั่งกี่จิ่วป่าน
หลังจากสิ้นสุด ตั่งกี่จิ้วป่าน (รุ่นที่4 นับจากก่อตั่งศาลเจ้า) ยังไม่มีร่างทรงตี่ฮู้อ่องเอี่ย ตราบจนถึงปัจจุบัน


(รูปที่5 ป้ายสรรเสริญตี่ฮู้อ่องเอี่ย)
(รูปที่5 ป้ายสรรเสริญตี่ฮู้อ่องเอี่ย)

ข้อมูลจากหนังสือประวัติ เจ้าพ่อเล่าเอี่ยก๊ง  (นายฉ้วน  เบ่งฮ้อ, นายประเสริฐ  สกุลประดิษฐ์, นายแจ้ง  สกลธวุฒิ)
เรียบเรียงปรับปรุงข้อมูล หลิมเบ่งถ้อง  สุนทรากร

เตียก่องเบ๋ง เทพเจ้าโชคลาภฝ่ายบู๊ ผู้โดนปลิดชีพด้วย ไสยศาสตร์

เตียก่องเบ๋ง เทพเจ้าโชคลาภฝ่ายบู๊ ผู้โดนปลิดชีพด้วย ไสยศาสตร์
(จาก นิยายฮ่องสิน)

5 เมษายน 2012 เวลา 15:17 น.


หากกล่าวถึงเทพเจ้าแห่งโชคลาภแล้วเราก็จะนึกถึง เทพเจ้าที่สวมชุดขุนนาง มือขวาถือคฑาหยก มือซ้ายถือ เงินตำลึงทองคำ หรือที่เรียกว่า “บุ๊นฉ่ายสิน” แต่อันที่จริงแล้วนั้น เมื่อมีบู๊น ก็ต้องมี บู๊ เทพเจ้าแห่งโชคลาภนั้นก็เช่นกัน ก็มี เทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบู๊นะคับ หรือที่เรียกว่า “บู๊ฉ่ายสิน” ท่านนั้นมีนามว่า “เตียวกองเบ๋ง” คับ ว่าแล้วก็ ถือโอกาสอัพสเปช , บลอก และเว็ป www.saiburi.orgทั้ง 3 อย่าง ณ วันนี้ ในเรื่องประวัติโดยย่อของ เตียวกองเบ๋ง (บู๊ฉ่ายสินเอี่ย) แล้วกันนะคับ ว่าแล้วก็เริ่มเลยคับเตียวก่องเบ๋ง เป็นบุคคลที่มีช่วงชีวิตอยู่ในสมัย “ห้องสิน” หรือช่วงรอยต่อระหว่าง ปลายราชวงศ์ซาง – ต้นราชวงศ์โจว นั้นเองคับ เตียวก่องเบ๋งถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มีสติปัญญาดีมีความรู้ความสามรถ มีสำนักอยู่นะ เขาโงไป ถ้ำลำพูต๋อง มีศิษย์สองคนชื่อ ตันเก๋าก๋อง และ เอี่ยวเสียนสู บุ่นไท่สือได้มาขอความช่วยเหลือให้ไปช่วยรบกับ เจียงจือแหย ผู้นำทัพแห่ง บู๊อ๋อง อนาคต กษัตริย์แห่งราชวงศ์โจ ระหว่างทางที่ไปหา บุ่นไท่สือนั้น ได้พบเสือลายพาดกลอนตัวหนึ่ง จึงได้จับเสือตัวนั้นมาเป็นพาหนะในการทำศึกเมื่อถึงค่ายแล้ว ได้ออกไปทำศึกกับทหารของเจียงจือแหย่ ละได้เอาชนะได้โดยง่ายเพราะตนมีอาวุธวิเศษและวิทยามนต์ที่กล้าแข็ง และได้รับชัยชนะกับการทำศึกกับเจียงจือแหย่ถึงขนาดเจียงจือแหยสิ้นชีวิต ดีที่กงเส่งจู้ได้ใช่ยาช่วยชีวิตให้ฟื้นมาได้ เมื่อถึงคราวรบกับโจโป ได้เสียท่าโดนโจโป ริบอาวุธจนหมด จนต้องไปขออาวุธจากนาง หุนเสียว เป็นกรรไกรทอง เพื่อเอามาเป็นอาวุธ และรบชนะเรื่อยมา จนเป็นที่กลัดกลุ่มของทัพไซรกี เล็กอับจึงเสนออุบายโดยการทำคุณไสยใส่เตียวกองเบ๋งโดยเสนอว่าให้บูกิด และหลำจงกวด
คุมทหารไปสร้างหอคอยที่เขากีสานกลางให้เจียงจือแหยทำหุนฟางเป็นรูปคน เขียนชื่อเตียวกองเบ๋งใส่ในหุ่น แล้วนำไปวางไว้บนหอคอย จุดตะเกียงบนศรีษะและเท้าของหุ่นฟาง แล้วลงอักขระ ทำตามกำหนดระยะเวลา 21 วัน และใหทำธนู 3 ดอก จนมีผลให้เตียวกองเบ๋งมีอาการผิดปกติไป เตียวเทียนกุนและอ๋องเทียนกุนยจึงจับยามดูจึงรู้ว้เจียงจื่อแหยต้องคุณไสยของทัพไซรกี บุ่นไท่สือจึงสั่งให้ตันเก๋าก๋อง และเอี่ยวเสียนสูไปลักลูกธนู กลับมาแต่เหยี่ยนเต๋งโตหยินล่วงรู้ถึงอุบายเสียก่อนจึงให้เอี่ยวเจี้ยนและโล่เฉี้ยมารายงานเจียงจื่อแหย และตามธนูกลับมาและ ได้ฆ่าตันเก๋าก๋องและเอี่ยวเสียนสูตาย เมื่อเจียงจื่อแหยร่ายมนต์ครบกำหนดตามตำราที่เล็กอับได้มอบให้แล้ว เล็กอับได้สั่งให้เจียงจื่อแหยเอาธนูยิงให้ถูกตาขวาและตาขวาของหุนฟาง ข้างละ 1 ดอกเมื่อเจียงจือแหยได้ยิ่งธนูตรงจุดที่เล็กอับได้บอกแล้ว เตียวกองเบ๋งก็เจ็บตาทั้งสองข้างจนลืมตามิได้ และลูกที่สามเจียงจื่อแหย่ได้จัดการยิ่งโดยให้ตัดขั้วหัวใจทำให้เตียวกองเบ๋งจายในทันที และวิญญาณ ได้ไปอยู่ในห้องสินไต้ ถือเป็นการสิ้นสุดชีวิตของเตียวกองเบ๋งด้วยการณ์นี้เมื่อถึงเวลาการแต่งตั้งเทพเจ้า (ห้องสิน) หลังจากเสร็จสินสงคราม เจียงจือแหยได้แต่งตั้ง เตียวกองเบ๋งให้เป็น “เหลงเหาเหียนถั๋นจินกุน” โดยโดยแต่งตั้งพร้อมกับวิญญาณอีก 4ดวง โดยมีเนื้อความการแต่งตั้งว่า “ตัวได้เรียนวิชามาช้านาน จวนจะเป็นเทวดาอยู่แล้ว หากตัวลุอำนาจแก่โทโสมารบจนตายในกลางศึก เมื่อไม่ได้เป็นเทวดาสมคิดแล้ว บัดนี้เราจะให้ตัวชื่อเหลงเหาเหียนถั๋นจินกุน ไท่เสียวเส่งชื่อเจียวโปเทียนจุน ให้โจโปชือลับตินเทียนจุน ให้เตียวอินเบ๋งชื่อเจียวจายสุเจีย ให้เอียวหนีอ๊กชื่อลิชีเสียนล่อ ทั้งห้าคนสำหรับรักษาของวิเศษที่เกิดซึ่งในแผ่นดิน กับผู้ใดทำความดีให้ช่วยทำนุบำรุงผู้ทำทำความชั่วให้ทำโทษ (คำกล่าวของเจียงจื่อแหย)” ในกาลต่อมา เตียวกองเบ๋ง (เหลงเหาเหียนถั๋นจินกุน) ก้ได้รับการอวยยศขึ้นเป็นเทพเจ้าโชคลาภฝ่ายบู๊ หรือ บู๊ฉ่ายสินเอี่ย จวบจนถึงปัจจุบันข้อมูลทั้งหมดนี้ได้อ้างอิงมาจากหนังสือห้องสิน สถาปนาเทวดาจีน สี่ว์จ้งหลิน เขียน ต้องขอขอบคุณ คุณตั๋วโก๊ (คนแซ่หลิม) ที่ให้คำแนะนำในการทำบทความนี้ครับ และทุกๆท่าน ที่คอยเป็นผู้ร่วมสร้างสรรค์เว็ปของเราให้มีอยู่ได้คับด้วยความเคารพในสหายฉ่ายอิ้วทุกท่านรวบรวมเรียบเรียงบทความโดย ศิษย์หลังบ้าน (ทนากร    สุนทรากร  林明通) 03/07/2550

ปีกันกง เทพเจ้าบุ๋นจายสินเอี่๋ย ผู้แหวกอกควักหัวใจ ถวายติ้วอ๋อง

ปีกันกง เทพเจ้าบุ๋นจายสินเอี่๋ย ผู้แหวกอกควักหัวใจ ถวายติ้วอ๋อง
(จากนิยาย ฮ่องสิน)

5 เมษายน 2012 เวลา 15:10 น.
ปีกันปีกัน
เทพเจ้าบุ๋น จ่ายสินเอี่ยปีกัน(ปีกาน) ปีกัน มีชีวิตอยู่ใน ราชวงศ์ซาง ยุคพระเจ้าติ้วอ๋องครองเมืองจิวโก รอยต่อของยุคยุคล่มสลายของราชวงศ์ซาง การก่อตั้งของราชวงศ์โจ ในสมัยห้องสิน เป็นเชื่อพระวงศ์ของพระเจ้าติ้วอ๋อง และได้เป็นผู้สำร็จราชการแทนพระเจ้าติ้วอ๋องออกว่าราชการงานเมืองต่างๆแทนติ้วอ๋องซึ่งลุ่มหลงในตัวนางขัน กี ปีศาจเสือปลาจำแลงจนไม่เสด็จออกว่าราชการ เป็นบุคคลที่มีความซื้อสัตย์ต่อแผ่นดิน ได้เคยให้การอุปถัมภ์ เจียงจือแหย่ในครั่งมารับราชการกับพระเจ้าติ้วอ๋อง ก่อนที่เจียงจื่อแหย่จะหนีออกจากเมืองจิวโก (เพราะผิดใจกับนางขันกี และกรณี พระที่นั้งล๊กไต่) ได้เขียนจดหมายไว้ 1 ฉบับแล้วกำชับบอกว่าเมื่อเกิดเรื่องไม่ดีให้เปิดออกอ่าน...จนเมื่อเวลาผ่านไปปีกันได้รับเชื่อเชิญจากติ้ว อ๋องและนางขันกีให้มาร่วมกินโต๊ะ (กินเลี้ยง) กับเทวดา ซึ้งอันที่จริงแล้วนั้นเป็นพรรคพวกปีศาจเสือของนางขันกีนั้นเอง ซึ้งจะมาร่วมกินโต๊ะกับติ้วอ๋อง ณ พระที่นั้งล๊กไต่ เมื่อปีศาจจำแลงลงมานั้นปีการได้ทำการคำนับเพราะเชื่อว่าเป็นเทวดาจริงๆแต่เมื่อได้กลิ่บสาปเสือปลา จึงถอนใจ ร่วมดืมสุรากับปีศาจจำแลงเหล่านั้น เมื่อปีศาจจำแลงเมาสุราจึงทำให้กลับร่างเดิมจึงทราบว่าเป็นปีศาจ ฝ่ายนางขันกีกลัวว่าตัวเองจะกลับร่างเดิมเลยให้ปีกาน ลงจากตำหนัก ระหว่างทางปีกันได้เจอกับอึ่งปวยฮ้อ จึงได้เล่าเรื่องที่ตนได้เห็นให้ฟัง อึ่งปวยฮ้อได้ทำการฆ่าปีศาจโดยการเผาหลุมของพวกปีศาจที่อาศัยอยู่ ทำให้ปีศาจในหลุมนั้นตายหมด และปีการได้นำขนของปีศาจเหล่านั้นไปทำเป็นเสื้อขนสัตว์แล้วถวายแก่ติ้วอ๋อง เมื่อนางขันกีเห็นเสื่อขนสัตว์จึงรู้ว่าเป็นพรรคพวกของตนจึง อาฆาตปีการอย่างมากและต้องการฆ่าปีการให้ได้ จึงวางแผนกับนางฮีบิแสร้งทำเป็นไม่สบายเป็นโรครากเลือด (กระอักเลือด)จึงบอกว่าต้อง นำตับมังกรมาเป็นยารักษา โดยบอกว่าปีกันมีตับมังกรอยู่ในตัวให้ติ้วอ๋องไปขอตับมังกรจากปีกันติ้วอ๋องจึงส่งจุดหมายตามตัว และนางขันกีได้ส่งจดหมายด่วนซ้ำถึง 6 ฉบับ เพื่อตามตัวปีกันเมื่อปีกานได้รับจดหมายด่วนจึงมีความทุกข์ใจอย่างยิ่งปีจู้บุตรชาย จึงได้บอกกับปีกันว่า ก่อนเจียงจือแหยจะจากไปได้เขียนจดหมายและบอกไว้ว่าหากมีเรื่องทุกข์ร้อนให้เปิดอ่าน 
ปีกันนึกขึ้นได้จึงเปิดอ่าน และได้เอายันต์ที่เจียงจือแหยให้ใส่น้ำกินแล้วเข้าเฝ้าติ้วอ๋อง ติ้วอ๋องด้เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังและขอตับมังกรจากปีกัน ปีกานรู้ว่าเป็นอุบายของนางขันกีที่ต้องการจะฆ่าตน จึงได้เกิดการโต้เถียงขึ้น ปีกันเกิดน้อยใจจึงเอากระบีจากทหารผ่าท้องตัวเองควักเอาหัวใจตนโยนให้กับติ้วอ๋อง แต่ปีการไม่ตายเป็นเพราะฤทธิ์ของยันต์ที่เจียงจือแหย่ให้ไว้แล้วเอาเสื้อปิดไว้ออกจากพระตำหนักโดยไม่พูดก ับใคร เมื่อถึงครึ่งทาง บริเวณสะพานมังกรพวกของนางขันกีได้แปลงร่างเป็นหญิงถือตะกล้าขวางม้าของปีกันไว้แล้วถามปีกันว่าไม่ซื้อผั กไม่มีหัวใจไว้บ่างหรือ ปีการสงสัยจึงถามไปว่าผักไม่มีหัวใจเป็นอย่างไร หญิงผู้นั้นจึงตอบไปว่า ผักไม่มีหัวใจก็เหมือนกับคนไม่มีหัวใจ

ปีกันได้ถามต่อไปว่าหากคนไม่มีหัวใจหละจะเป็นยังไง หญิงผู้นั้นก็ตอบไปว่าคนไม่มีหัวใจก็ต้องตาย เมื่อหยิงคนนั้นพูดจบ ปีกันก็ตกลงจากมาเลือดไหลจนสิ้นชีวิต.....

*หากผิดพลาดตกหล่นประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยคับ

*** ขอขอบคุณ คนแซ่หลิม ที่ให้คำแนะนำชี้แนะและให้ความช่วยเหลือคับ


ด้วยความเคารพนับถืออย่างที่สุด

     ศิษย์หลังบ้าน
(ทนากร     สุนทรากร 林明通)
10/11/2549รวบรวมเรียบเรียงบทความ
 


หง้อเส่งเต่กุน 五聖帝君

หง้อเส่งเต่กุน 五聖帝君

5 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 2:28 น.
เมื่อกี้ ได้เข้าไปเว้บจีน หาโน้นหานี้ดูเล่นๆ แล้วก็ เจอเรื่องน่าสนใจเลยเอา เป็นข้อมูลแบ่งปั่นให้เพื่อนๆ ครับ
เราๆ ก็รู้จักเทพเจ้าที่ได้รับอวยยศเป็นเต่กุน กันอยู่แล้ว ก็คื่อ กวนเส่งเส่งเต่ กุน จริงๆ แล้วเหลืออีก 4  ครับ มีดังนี้ครับ

                    五聖帝君 หง้อเส่งเต่กุน
  1. 關羽、     กวนอู          聖帝君     กวนเส่งเต่กุน
  2. 趙子龍、 เตียจูล่ง      聖帝君     เตียเส่งเต่กุน
  3. 張飛、     เตียวหุย      聖帝君     เตียวเส่งเต่กุน
  4. 馬超、     ม่าเฉียว       聖帝君    ม่าเส่งเต่กุน
  5. 黃忠、     ฮองตง        聖帝君    ฮองเส่งเต่กุน
ทั้ง 5 ล้วนเป็นบุคคลในประวัติศาสตรืจีน สมัยสามก๊ก เป็นแม่ทัพที่เก่งกาจ มีคุณธรรม จรรยา ทั้งสิ้น
ทั้ง5 ท่าน คือ 5 ทหารเสือแห่ง จีกก๊ก นั้นเอง ครับ
มีประวัติพอสังเขป ดังนี้ ครับ 

............................................................................................................................................  



กวนอู (อังกฤษ: Guan Yu;จีนตัวเต็ม: 關羽; จีนตัวย่อ: 关羽; พินอิน: Guān Yǔ; เวด-ไจลส์: Kuan Yu)


เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก เกิดเมื่อวันที่ 24 เดือน 6 จีนศักราชเอี่ยงฮี ปี พ.ศ. 703 ในรัชสมัยของพระเจ้าฮั้นฮวนเต้ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 12 เดือนที่ 7 จีนศักราชเคี่ยงเซ้ง ปี พ.ศ. 762 ในรัชสมัยของพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้

มีชื่อรองว่า "หุนเตี๋ยง" (จีน: 云长) เป็นชาวอำเภอไก่เหลียง ลักษณะตามคำบรรยายในวรรณกรรมสามก๊ก กวนอูเป็นผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ 9 ฟุตจีนหรือประมาณ 6 ศอก ใบหน้าแดงเหมือนผลพุทราสุก นัยน์ตายาวรี คิ้วดั่งหนอนไหม หนวดเครางามถึงอก[3] มีง้าวรูปจันทร์เสี้ยว ยาว 11 ศอก หนัก 82 ชั่ง เป็นอาวุธประจำกายเรียกว่า "ง้าวมังกรเขียว" หรือ "ง้าวมังกรจันทร์ฉงาย" ในจินตนาการของศิลปินมักวาดภาพหรือปั้นภาพให้กวนอูแต่งกายด้วยชุดสีเขียวและมีผ้าโพกศีรษะ กวนอูมีความเชี่ยวชาญและเก่งกาจวิทยายุทธ จงรักภักดี กตัญญูรู้คุณ มีคุณธรรมและซื่อสัตย์เป็นเลิศ

ในวัยหนุ่มฉกรรจ์กวนอูได้พลั้งมือฆ่าปลัดอำเภอและน้าชายตายจนต้องหลบหนีการจับกุม[4] และพบกับเล่าปี่และเตียวหุยจนร่วมสาบานตนเป็นพี่น้องกันในสวนท้อ ร่วมทำศึกกับเล่าปี่มาโดยตลอด เป็นหนึ่งในห้าทหารเสือของเล่าปี่ ครองเกงจิ๋วร่วมกับกวนเป๋งบุตรบุญธรรมและจิวฉอง ภายหลังถูกแผนกลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเลของลกซุนและลิบองจนเสียเมืองเกงจิ๋ว กวนอูคับแค้นใจที่พลาดท่าเสียทีลกซุนและลิบองจึงนำทัพไปตีเกงจิ๋วเพื่อแย่งชิงคืน แต่ถูกจูเหียนและพัวเจี้ยงจับได้พร้อมกวนเป๋งที่เขาเจาสันและถูกประหารในปี พ.ศ. 762 รวมอายุได้ 59 ปี

............................................................................................................................................

จูล่ง จีนตัวเต็ม: 子龍; จีนตัวย่อ: 子龙; พินอิน: Zǐlóng)


เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก ชื่อจริงคือ เตียวหยุน (จีนตัวเต็ม: 趙雲; จีนตัวย่อ: 赵云; พินอิน: Zhào Yún) แม่ทัพคนสำคัญของเล่าปี่ ในยุคสามก๊กของประเทศจีน และเป็น 1 ใน 5 ขุนพลทหารเสือของเล่าปี่ ในวรรณกรรมสามก๊กโดยจูล่งเป็นทหารเสือคนที่ 5

จูล่ง ได้รับฉายาว่าเป็น "สุภาพบุรุษจากเสียงสาน" เกิดในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 2 ที่อำเภอเจินติ้ง เมืองเสียงสาน มีแซ่เตียว (จ้าว) แต่ไม่มีใครเรียกว่า เตียวจูล่ง สูงประมาณ 6 ศอก (1.89 เมตร) หน้าผากกว้างดั่งเสือ ตาโต คิ้วดก กรามใหญ่กว้างบ่งบอกถึงนิสัยซื่อสัตย์ สุภาพเรียบร้อย น้ำใจกล้าหาญ สวมเกราะสีขาว ใช้ทวนยาวเป็นอาวุธ พาหนะคู่ใจ คือ ม้าสีขาว คอยติดตามเล่าปี่ และขงเบ้ง จูล่งเป็น 1 ใน 5 ขุนพลทหารเสือที่ เล่าปี่แต่งตั้งขึ้น ประกอบด้วย จูล่ง กวนอู เตียวหุย ม้าเฉียว และฮองตง

ประวัติ

จูล่งเดิมเดิมเป็นชาวเมืองเสียงสาน ต่อมาได้มาเป็นทหารของอ้วนเสี้ยว แต่อ้วนเสี้ยวหยาบช้า ไร้น้ำใจ จูล่งจึงหนีไปอยู่กับกองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋ง โดยที่ขณะนั้นกองซุนจ้านได้ทำศึกกับอ้วนเสี้ยว จูล่งยังได้ช่วยชีวิตกองซุนจ้านไว้แล้วสู้กับบุนทิวถึง 60 เพลง จนบุนทิวหนีไป ต่อมาจูล่งได้มีโอกาสรู้จักกับเล่าปี่ ทั้งสองต่างเลื่อมใสซึ่งกันและกัน เมื่อกองซุนจ้านฆ่าตัวตายเพราะแพ้อ้วนเสี้ยว จูล่งจึงได้ร่อนเร่พเนจรจนมาถึงเขาโงจิวสัน ซึ่งมีโจรป่ากลุ่มหนึ่งมีหุยง่วนเสียวเป็นหัวหน้า หุยง่วนเสียวคิดชิงม้าจากจูล่ง จูล่งจึงฆ่าหุยง่วนเสียวตายแล้วได้เป็นหัวหน้าโจรป่าแทน ต่อมากวนอูได้ใช้ให้จิวฉองมาตามหุยง่วนเสียวและโจรป่าไปช่วยรบ จิวฉองเมื่อเห็นจูล่งคุมโจรป่าจึงคิดว่าจูล่งคิดร้ายฆ่าหุยง่วนเสียว จิวฉองจึงตะบันม้าเข้ารบกับจูล่ง ปรากฏว่าจิวฉองต้องกลับไปหากวนอูในสภาพเลือดโทรมกาย ถูกแทงถึง 3 แผล (สำนวนสามก๊กฉบับวณิพกของ ยาขอบ) จิวฉองเล่าว่าคนผู้นี้มีฝีมือระดับลิโป้ ดังนั้นกวนอูกับเล่าปี่จึงต้องรุดไปดูด้วยตนเอง แต่เมื่อได้พบกันจูล่งก็เล่าความจริงทั้งหมด ตั้งแต่นั้นมาจูล่งก็ได้เป็นทหารเอกของเล่าปี่เคยรบชนะม้าเฉียวในการประลองตัวๆและยังเคยทะเลาะกับเตียวหุยตอนอยู่กับกองซุนจ้านจนเกือบสังหารเตียวหุยแต่กวนอูมาขวางไว้

ในปี พ.ศ. 751 จูล่งสร้างวีรกรรมครั้งสำคัญคือ ฝ่าทัพรับอาเต๊า บุตรชายของเล่าปี่ที่เกิดจากนางกำฮูหยิน ซึ่งพลัดหลงกับเล่าปี่ที่ทุ่งเตียงบันโบ๋ จูล่งทำการครั้งนี้เพียงคนเดียว ท่ามกลางทหารและองครักษ์มากมายของโจโฉที่ยกทัพลงทางใต้หวังรวบรวมแผ่นดิน และได้ฆ่าทหารเอกและทหารเลว ของโจโฉมากมาย ตั้งแต่ 03.00 น. จนถึง 15.00 น. ของอีกวัน จนโจโฉ ถึงกับถามชื่อขุนพลผู้นี้ ซึ่งจูล่งได้ตอบโจโฉว่า "ข้าชื่อจูล่ง แห่งเสียงสาน" และครั้งหนึ่งจูล่งได้ไปชิงตัวอาเต๊าคืนมาจากซุนฮูหยิน ที่ต้องกลของซุนกวนที่หวังจะดึงไปเป็นตัวประกันที่ง่อก๊ก จูล่งเป็นผู้ที่ติดตามเล่าปี่ตลอด แม้จะไม่ได้สาบานเป็นพี่น้องกันเหมือน กวนอูและเตียวหุย แต่จูล่งก็เรียกกวนอูและเตียวหุยว่า "พี่สองและพี่สาม" แต่กับเล่าปี่ จูล่งจะเรียกว่า "นายท่าน" ตอนที่เล่าปี่จะสิ้นใจในเรียก ขงเบ้งเข้าพบ และเรียกจูล่ง ทรงตรัสด้วยคำพูดว่า " ท่านกับเรานั้นต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา แต่มาบัดนี้ ชะตากรรมกำลังพรากเราสอง ขอให้ท่านนึกถึงนำใจเก่าก่อนช่วยเหลือบุตรเราและท่านขงเบ้ง ฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นอัญเชิญราชวงศ์ฮั่นกลับสู่ราชธานีลกเอี๋ยงด้วย "

และหลังจากที่เล่าปี่เสียชีวิตลง จูล่งเป็นทหารสังกัดของขงเบ้ง เมื่อยามศึกยังสู้แม้ตัวเองแก่แล้ว มีครั้งหนึ่ง ก่อนรบศึกกับฝ่ายวุยก็ก ช่วงนั้นขงเบ้งเลือกทหารให้ไปรบ แต่กลับไม่เลือกจูล่ง เพราะขงเบ้งว่าจูล่งแก่แล้ว แต่จูล่งกลับแย้งขี้นมา จูล่งเสียชีวิตอย่างสงบในเมืองฮั่นจง เมื่อปี พ.ศ. 772 หลังจากที่จูล่งตาย ขงเบ้งได้รำพันออกมาว่า "แขนซ้ายข้าขาดแล้ว" และเป็นลมสิ้นสติไปด้วยความเสียใจ

ซึ่งตัวละคร จูล่ง ถือได้ว่าเป็นตัวละครที่ผู้อ่านสามก๊กโดยส่วนมาก โปรดปราน ชื่นชมมากที่สุดในบรรดาตัวละครทั้งหมดในเรื่อง เนื่องจากเป็นผู้ที่มีรูปลักษณ์ การแต่งกายสง่างาม ฝีมือสัประยุทธ์เป็นเลิศ และมีความซื่อสัตย์ ทำการโดยไม่เห็นแก่ลาภยศ

............................................................................................................................................

เตียวหุย (อังกฤษ: Zhang Fei, จีน: 張飛 พินอิน: Zhāng Fēi) (ค.ศ. 168-ค.ศ. 221)


เป็นแม่ทัพในวรรณกรรมจีนเรื่องสามก๊ก มีชื่อรองว่า เตียวเอ็กเต้ ในภาษาจีนกลางเรียก จังเฟย เป็นบุคคลคนหนึ่งที่อยู่ในสังกัดห้าทหารเสือแห่งจ๊กก๊กเป็นคนที่ 2

ประวัติ

เตียวหุย ทรงเป็นพระอนุชาร่วมสาบานคนสุดท้องของพระเจ้าเล่าปี่และเทพเจ้ากวนอู โดยการสาบานที่สวนดอกท้อนั้น กระทำขึ้นที่หลังบ้านของเตียวหุยเอง และเป็นเตียวหุยที่ออกทุนทรัพย์ในการรวบรวมผู้คนเป็นครั้งแรกของทั้ง 3 มีนิสัยวู่วามอารมณ์ร้อน ชอบดื่มสุราจนเมามายแล้วเฆี่ยนตีทหารบ่อย ๆ ศีรษะโตเหมือนเสือ หน้าสีดำ ตาพองโต เสียงดังปานฟ้าผ่า กิริยาดั่งม้าควบ เป็นผู้มีพละกำลังมาก อาวุธประจำตัวคือทวนยาว 8 ศอก หนัก 80 ชั่งจีน เรียกว่าทวนอสรพิษ บางตำราเรียกว่า ทวนยาวอสรพิษ ตัวคมทวนขดไปมาเป็นคลื่นคล้ายงู ปลายคมเป็นรูปจันทร์เสี้ยว อาชีพเดิมของเตียวหุยคือคนขายหมูในเมืองตุ้นกวน ต่อมาได้ติดตามเล่าปี่เพื่อปราบกบฏโจรโพกผ้าเหลือง และเตียวหุยก็ได้ร่วบรบกับพระเจ้าเล่าปี่ มาตลอดทั้งชีวิต ทั้งสู้รบมาหลายศึกอย่างศึกเซ็กเพ็ก ศึกเขาเตงกุนสัน ร่วมรบกับทหารเสือหลายคน ภายหลังเตียวหุยเสียชีวิตขณะยกทัพไปหมายจะล้างแค้นให้กวนอู เพราะถูกลอบฆ่าตัดหัวโดยฮอมเกียงและเตียวตัดทหารฝ่ายตนเอง เตียวหุยอายุได้ 55 ปี (ในฉบับหลอกว้านจงกล่าวว่าเสียชีวิตเมื่ออายุ 50 ปี) เนื่องจากนิสัยวู่วามของตนเอง

ภายนอกเตียวหุยอาจดูเป็นคนหยาบช้า อารมณ์ร้อนไม่มีสติปัญญา แต่แท้ที่จริงแล้วเตียวหุยเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์มาก เป็นคนตรงไปตรงมา นับถือคุณธรรม กล้าหาญ และเป็นผู้ที่มีสติปัญญาในการวางอุบายรบด้วย ดั่งจะเห็นได้จากหลายตอน เช่น เมื่อครั้งที่เล่าปี่อพยพครอบครัวและชาวเมืองจากเมืองซินเอี๋ยหนีการตามล่าของโจโฉ เตียวหุยเป็นผู้ใช้อุบายใช้กิ่งไม้ผูกหางม้า แล้วให้ทหารวิ่งไปมาในป่าหลังสะพานเตียงปันให้ฝุ่นตลบ เพื่อลวงทหารโจโฉว่ามีกองกำลังซุ่มในป่าจำนวนมาก ทั้งยังมีอุบายเปิดเผยเส้นทาง เพื่อหลอกเงียมหงันให้มาลอบโจมตี แต่สุดท้ายก็เข้าแผนของเตียวหุยที่ใช้กองทัพซุ่มซ้อนกลจนพ่ายแพ้ไป และอีกครั้งที่แสร้งทำเป็นเมามายเพื่อลวงเตียวคับ จนในที่สุดก็เอาชนะเตียวคับได้ ทั้งที่มีชัยภูมิเสียเปรียบกว่า เป็นต้น

............................................................................................................................................

ม้าเฉียว (อังกฤษ: Ma Chao; จีนตัวเต็ม: 馬超; จีนตัวย่อ: 马超; พินอิน: Mǎ Chāo )


เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก ที่มีตัวตนจริงตามประวัติศาสตร์ เชี่ยวชาญในการขี่ม้ามาก เป็น 1 ใน 5 ขุนพลพยัคฆ์แห่งจ๊กก๊ก ชื่อรองว่า เหมิงฉี เกิดที่มณฑลซานซี เป็นบุตรชายคนที่ 2 ของม้าเท้ง เจ้าเมืองเสเหลียง มีความแค้นต่อโจโฉมาก เนื่องจากม้าเท้งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่วมลงชื่อกำจัดโจโฉตามหนังสือเลือดของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งเป็นบุคคลที่โจโฉระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าจะตลบหลังตีเมืองลกเอี๋ยง ตอนตนออกไปทำศึกตามหัวเมืองต่าง ๆ จึงทำอุบายขอโองการฮ่องเต้แต่งตั้งตำแหน่งแม่ทัพปราบทักษิณ ให้ม้าเท้งเข้ามาเมืองฮูโต๋รับตำแหน่งแล้วจะจับฆ่า แต่ม้าเท้งซ้อนแผนไว้ ผลสุดท้ายแผนแตกจึงถูกโจโฉจับฆ่าตายทั้งตัวและน้องชายม้าต้าย ญาติผู้น้องเป็นผู้เดียวที่หลบหนีมาได้ จึงรีบไปบอกม้าเฉียว

ม้าเฉียวแค้นมากประกาศจะตามล้างโจโฉให้ได้ จึงรวบรวมทัพของตนผสมกับชนเผ่าเกี๋ยงบุกตีโจโฉ ทำให้โจโฉต้องเตลิดหนีด้วยการตัดหนวดทิ้ง และถอดเสื้อคลุมทิ้ง แต่เตียวคับเข้ามาขวาง จึงหลบหนีไปได้หวุดหวิด โจโฉได้กล่าวว่า ม้าเฉียวเก่งกล้าไม่แพ้ลิโป้ในอดีต จากนั้นม้าเฉียวจึงไปร่วมกับหันซุยทำศึกกับโจโฉ แต่ด้วยอุบายของโจโฉ ที่รอให้น้ำแข็งที่เกาะกุมกำแพงเมืองหนาแน่น และทำให้ม้าเฉียวระแวงหันซุย จึงชนะในที่สุด ม้าเฉียวจึงต้องร่อนเร่พเนจรและได้เข้าร่วมกับเตียวล่อ ได้เข้ารบกับจ๊กก๊ก โดยประลองฝีมือกับเตียวหุย รบถึงกัน 100 เพลง ก็ไม่มีใครแพ้-ชนะ เนื่องจากฝีมือสูสีกันมาก ด้วยอุบายของขงเบ้งทำให้ได้ม้าเฉียวมาอยู่กับฝ่ายจ๊กก๊ก เมื่อครั้งที่เล่าปี่ยกทัพเข้าตีเซงโต๋ในเสฉวนของเล่าเจี้ยง ขงเบ้งได้ให้ม้าเฉียวเป็นทัพหน้า เพียงแค่ได้ยินชื่อของม้าเฉียว ทหารของเล่าเจี้ยงก็ยอมแพ้ไม่ต้องรบทันที เพราะนับถือม้าเฉียวมากดุจเทพเจ้าแห่งสงคราม

ม้าเฉียวเสียชีวิตอย่างกระทันหัน ขณะตามขงเบ้งลงใต้ปราบเบ้งเฮ็กด้วยวัยเพียง 45 ปี


............................................................................................................................................

ฮองตง อังกฤษ: Huang Zhong; จีนตัวเต็ม: 黄忠; จีนตัวย่อ: 黄忠; พินอิน: Huáng Zhōng; เวด-ไจลส์: Huang Chung เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิง


ประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก แม่ทัพแห่งจกก๊ก ฉายา ฮั่นสินแห่งหนานหยาง เป็นชาวเมืองหนานหยาง (บ้านเดียวกับขงเบ้ง) เชี่ยวชาญในการใช้ง้าวและเกาทัณฑ์ เป็นผู้ที่มีคุณธรรม เป็น 1 ใน 5 ทหารเสือของจ๊กก๊ก โดยฮองตงเป็นคนที่ 4

เดิมเป็นขุนพลที่รักษาเมืองเตียงสา ของเล่าเปียว เมื่อออกรบเคยพลาดท่าในสนามรบ และกวนอูไว้ชีวิต ในการต่อสู้ครั้งต่อมา จึงจงใจยิงเกาทัณฑ์พลาด เป็นการทดแทนบุญคุณกลับคืน แต่เจ้าเมืองเตียงสาเข้าใจว่า ฮองตงเอาใจข้างข้างฝ่ายเล่าปี่ จึงกล่าวหาว่าฮองตงเป็นกบฏ เมื่อเล่าปี่เข้าเมืองเตียงสาได้แล้ว ได้ไปพบฮองตงที่บ้านพัก พบฮองตงนอนเมาอยู่ด้วยความเสียใจที่ไม่สามารถรักษาเมืองได้ เล่าปี่ กวนอู และเตียวหุยทำการคาราวะฮองตงว่า เป็นนักรบที่มีฝีมือและคุณธรรมอย่างแท้จริง พร้อมเกลี้ยกล่อมให้มาเข้าร่วมด้วย ฮองตงจึงเข้าร่วมกับเล่าปี่เมื่ออายุได้ 60 ปี และได้เป็น 1 ใน 5 ทหารเสือของจ๊กก๊ก

ฮองตงสร้างผลงานอีกครั้ง เมื่อแฮหัวเอี๋ยนยกทัพมา ขงเบ้งแสร้งพูดยั่ว โดยกล่าวว่าฮองตงแก่ชราแล้ว คงจะไม่มีเรี่ยวแรง ฮองตงจึงเกิดมานะ แสดงพละกำลังด้วยการหักคันธนูและรำง้าวให้ดู ฮองตงหนีไปตั้งหลักที่ยอดเขาเตงกุนสัน เพื่อให้แฮหัวเอี๋ยนที่อยู่ริมเขาตะโกนท้าทายให้ลงมาสู้ แต่ฮองตงก็ไม่ยอมสู้ จนกระทั่งฝ่ายแฮหัวเอี๋ยนอ่อนล้าเองในเวลาบ่าย ทหารทุกคนกำลังนอนหลับ ฮองตงฉวยโอกาสบุกลงมา ตัดศีรษะแฮหัวเอี๋ยนทันที ฮองตงเสียชีวิตลงกลางสนามรบ จากการรบกับง่อก๊ก ครั้งเล่าปี่ยกทัพไปรบเพื่อล้างแค้นให้กวนอูในศึกอิเหลง เมื่ออายุได้ 75 ปี

แต่การที่ฮองตงไม่ลงมาโจมตีนั้นเพราะหวดเจ้งยังไม่ยกธงแดง เมื่อยกธงแดงจึงฉวยโอกาสโจมตีในขณะที่แฮหัวเอี๋ยนกำลังใส่ชุดเกราะ

ด้วยความเคารพ
林明通
(หลิมเบ่งถ้อง) 

ข้อคิด

ข้อคิด

26 เมษายน 2011 เวลา 4:32 น.
 
 คนเรามักไม่ค่อยคิดถึงสิ่งที่ตนมีอยู่   แต่มักจะคิดถึงสิ่งที่ตนไม่มี 
...เราแทบจะไม่คิดเลยว่า เรามีอะไรบ้าง ?...
แต่เราคิดเพียงว่าเราขาดอะไรบ้างเท่านั้น...

...จงรื่นรมย์กับสิ่งที่คุณมี ...ในขณะที่คนโง่พร่ำเพรียกใฝ่หาไม่รู้จบ...

...การสร้างนิสัยให้เกิดความคิด มองหาแต่ด้านดีในทุกสภาพการณ์ ...
เป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าได้รับเงินเป็นล้านๆ ในหนึ่งปี...


"คนเราไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางลมได้  แต่เราสามารถปรับใบเรือได้"
...คนมองโลกในแง่ดี คือคนที่เห็นไฟเขียวทุกแห่งหน... คนที่มองโลกในแง่ร้ายจะเห็นแต่ไฟแดง... แต่คนชาญฉลาดที่แท้จริงตาจะบอดสี...

...การสร้างกุศลอันสุดประเสริฐแก่ผู้หนึ่งผู้ใดนั้น... มิใช่อยู่ที่การเผื่อแผ่ความร่ำรวยไปให้เขาหรือไม่... แต่มันอยู่ที่การทำให้เขาเกิดตาสว่างมองเห็นขุมทรัพย์ที่เขามีอยู่ในตนต่างหาก...

...ไม่มีงานใดที่ต่ำต้อย ขอเพียงงานนั้นสอดคล้องกับทิศทางในชีวิตของท่าน...


"สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของคนเรา คือ ชีวิต และเราจะเป็นเจ้าของชีวิตได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น"
...คุณจะไม่มีวันได้สิ่งที่คุณพอใจ... จนกว่าคุณจะได้เรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่คุณมี...

...อย่าปล่อยให้ชีวิตเป็นไปอย่างไร้จุดหมาย...  ผู้ที่มีชีวิตอยู่แต่ไม่ยอมต่อสู้ชีวิต คือ... ศพเดินได้...

...อุปสรรคที่ใหญ่หลวงที่สุดของความสำเร็จ ก็คือ... การล้มเลิกกลางคัน...



"หากปราศจากความกระตือรือร้น ย่อมไม่อาจทำสิ่งใดใด้สำเร็จ"
...ความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ของเรา... ไม่ได้อยู่ที่เราไม่เคยล้ม แต่อยู่ที่สามารถลุกขึ้นได้ทุกคร้งที่เราล้ม...

...ก่อนที่สวรรค์จะมอบภาระหนักอึ้งมาให้... เราทุกคนต่างก็ถูกทดสอบความวิริยะอุตสาหะเป็นอันดับแรก... บางครั้งต้องทนหิว ร่างกายก็อ่อนแอ... สับสนภายในใจ... สิ่งเหล่านี้ล้วนหล่อหลอมจนเราแข็งแกร่ง... พร้อมเผชิญอุปสรรค... เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิต...

...จงเลือกเดินทางที่ถูกต้องที่สุด... ไม่ว่าทางนั้นจะขรุขระยากลำบากสักเพียงไร... เมื่อคุ้นเคยแล้วก็จะรู้สึกว่ามันราบเรียบเดินสบาย...


"แก่นแท้แห่งชีวิตอยู่ที่ความหมั่นเพียร  หากไม่ไขว่คว้า ไหนเลยจะพบความสำเร็จ"
...ชีวิตไม่มีทางเรียนจบ ตลอดชีวิตของเรา...  ชีวิต คือ... การเรียนที่มีบทเรียนให้เรียนได้เสมอ...

...นักศึกษาสมัยก่อนศึกษาเพื่อให้ตนเองมีความสำเร็จในการศึกษา...  นักศึกษาในปัจจุบันศึกษาเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าตนมีการศึกษา...

...เรียนรู้ ฝึกฝนความสามารถมิใช่เรื่องยากที่สุด...  รู้จักนำความสามารถไปใช้อย่างเหมาะสมจึงเป็นเรื่องยากที่สุด...


" ความสุข คือ ความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ "
...ถ้าหากเราไม่เฝ้าแต่วุ่นวายอยู่กับการพูดและการกระทำของผู้อื่น... เราจะมีความสงบสุขมากขึ้น...

...ความลับที่ทำให้คนเรามีอายุยืนนานและมีความสุขก็คือ... การให้อภัยทุกคน... ทุกเรื่อง และทุกคืนก่อนที่เราจะนอน...

...การให้อภัยผู้อื่นเป็นคุณธรรมอันสูงส่ง... การให้อภัยตนเองจะเป็นการสูญเสียคุณธรรมไป...