ประวัติความเป็นมา ของเทพเจ้าตี่ฮู้อ่องเอี่ย แห่งศาลเจ้า ซิ่นเฮงเกียง ตี่ฮู้อ่องเอี่ยเบ้ว หมู่บ้านบางตะโล๊ะ
ขออนุญาต คัดลอกจากหนังสือชีวประวัติ เจ้าพ่่อเล่าเอี่ยก๊ง และทำการปรับปรุงเรียบเรียง คำเสีย บางตอนเพื่อให้ ง่ายต่อความเข้าใจ

(รูปที่1 เทพเจ้าตี่ฮู้อ่องเอี่ย)
นับเป็นช่วงอายุคน ก็กว่า 5 ชั่วคนมาแล้ว ได้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมาในหมู่บ้านบางตะโล๊ะ ซึ่งมีชาวไทยพุทธและชาวไทยเชื่อสายจีน อยู่อาศัยเป็นส่วนมาก และมีหมู่บ้านไกล้เคียงเป็นชาวมุสลิม อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล ประกอบอาชีพประมงชายฝั่ง (อวนทับตลิ่ง) เรื่องราวได้เกิดขึ้นเมื่อบิดานายคง ซึ้งเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน ได้ไปขอปลาชาวมุสลิมที่ได้ประกอบอาชีพประมงชายฝั่ง ได้เิกิดมีเทวรูปเทพเจ้าจีนอวนขึ้นมาด้วย
เมื่อชาวมุสลิมเห็นดังนั้น จึงเรียกบิดานายคง ให้มาช่วยเอาเทวรูปจีนออกจากอวนนั้นเสีย เมื่อบิดานายคงมองเห็นเทวรูปเทพเจ้าจีน ซึ่งมีหอย เพรียงเกาะติดตามองค์เทวรูปเต็มไปหมด บิดานายคงได้อุ้มเทวรูปเทพเจ้าจีนขึ้นมา ทันทีที่ได้อุ้มเทวรูปเทพเจ้าจีนขึ้นมานั้น บิดานายคงลืมตัวว่าตัวเองเป็นคุดทะราด เหมือนมีสิ่งที่มองไม่เห็นเข้าประทับร่างจึงกอดเทวรูปเทพเจ้าจีนไว้แน่นแล้ววิ่งย่ำบนกอหญ้าลูกลมที่มีความแหลมคมมาก โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่ประการใดแต่ตนยังคงอุ้มเทวรูปเทพเจ้าจีนวิ่งลุยดงหญ้าลูกลมจุนเกิดบาดแผลเลือดไหลและได้วิ่งลงคลองข้ามฝั่งมายังหมู่บ้านบางตะโล๊ะ และได้นำเทวรูปเทพเจ้าจีนองค์นั้นวางไว้ที่กอเตย ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบันของศาลเจ้านั้นเอง และได้ไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านในขณะนั้น คือแปะตัน
เมื่อแปะตันทราบขาวก็ได้เกณฑ์ชาวบ้านมาดู แกะหอยเพรียงที่เกาะตามองค์เทวรูปเทพเจ้าจีนออก และได้ นำมาวางไว้ ณปะรำพิธี รมกำยาน ธูปและประโคมล่อก๊อ เพื่อให้ทิพยญาณของเทพเจ้ามาสถิตย์ ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ปะรำพิธีเกิดสั่นคอลอนขึ้นมา แปะตันเห็นดังนั้นจึงได้สร้างศาลเจ้าชั่วคราวขึ้นมาเพื่อประดิษฐานเทวรูปเทพเจ้าจีนองค์นั้น หลังจากนั้นไม่นานนัก อาการเจ็บปวดเรื่อรังจากคุดทะราดของบิดานายคงได้หายไปอย่างปลิดทิ้ง
หากมีผู้ใดเจ็บป่วยไปบนขอ ก็จะหายป่วยตามคำบนบาน เกิดเป็นปาฏิหาริย์ไปทั่วสารทิศ โดยเฉพาะชาวบ้านที่อยู่อาศัยอยู่ตามระแวกไกล้เคียงได้เกิดเลื่อมใสพากันมากราบไหว้บูชากันไม่ขาดสาย แม่นจะบนบานเรื่องอะไรก็จะสัมฤทธิ์ผลตามปราถนา

(รูปที่2 ป้ายศาลเจ้า จารึกชื่อศาลเจ้าไว้ว่า ซิ่นเฮงเกียง)
หากประสบเคราะห์ภัยร้ายแรง เช่นว่า เรือเดินทะเลประสบคลื่นลมพายุ เมื่อนึกถึงท่านลมพายุจะสงบลงทันตา บรรดาโรคระบาด สมัยนั้นเรียกว่าห่า เช่นไข้ทรพิษ อหิวาต์ ที่ได้ฉุดคร่าผู้คนหมู่บ้านไกล้เคียงไปมากแต่กลับไม่ส่งผลให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบริเวณไกล้เคียงศาลเจ้ารวมถึงผู้ที่เคารพบูชา โรคร้ายเหล่านั้นก็ไม่กล่ำกรายเข้ามาทำร้ายได้ ทำให้ผู้คนเคารพนับถือองค์ท่านมากขึ้นเป็นเท่าทวี
ล่วงรู้ไปถึงเจ้าพระยาครองเมืองสาย(ชาวมุสลิม) ในสมัยนั้นยังเป็นระบบการปกครองโดยมีผู้มีบารมีหรือเชื้อวงศ์ เจ้าพระยาหรือเจ้าครองเมืองอยู่ เรียกกันว่า พระยาแขก ท่านได้มา บนบานศาลกล่าว และคำขอสัมฤทธิ์ผลจึงได้มอง จี้ทองคำ รูปพระจันทร์เสี่ยวดวงดาว ให้แก่ท่าน

(รูปที่3 จี้ ทองคำ ดาวพระจันทร์เสี้ยว)
ต่อมาได้มีผู้รู้ประวัติและความเป็นมาของท่านได้ กล่าวว่านเทะเจ้าองค์นี้คือ องค์ ตี่ฮู้อ่องเอี่ย หรือ องค์เล่าเอี่ยก๊ง ที่คนสายบุรีทั่วไปรู้จักกัน
เมื่อล่วงถึงสมัยของเก่าเก่ เอ่งวัฒน์ แปะตันและเถ่าเก่เองวัฒน์ได้ร่วมมือกับชาวบ้านศร้างศาลเจ้าถาวรขึ้น เพื่อประดิษฐานองค์ท่าน และได้แกะเทพเจ้าภายในศาลเจ้าขึ้นมาเพิ่มเติม คือ 1.ปุ่นท่าวก๊ง 2.ม่าจ้อโป่ 3.ฮู่จ้อ(กวนอิม) แล้วจัดให้มีการพิธีเฉลิมฉลองขึ้นมาในทุกปี สมัยก่อนจะมีม้าทรง ไต่บันไดดาบ เชือดลิ้นแปะกระดาษยันต์แดง แล้วโปรยลงมาจากบันไดดาบ เอากระบีฟันตามร่างกาย เอาลูกหนามทองเหลืองฟาดไปตามตัว

(รูปที่4 กระบี่ และแซ่ ของเก่า)
รายชื่อม้าทรงตี่ฮู้อ่องเอี่ย ของศาลเจ้า สืบต่อกันมา 4 รุ่น
1.ตั่งกี่ลู้
2.ตั่งกี่วัฒน์
3.ตั่งกี่แปะจี้
4.ตั่งกี่จิ่วป่าน
หลังจากสิ้นสุด ตั่งกี่จิ้วป่าน (รุ่นที่4 นับจากก่อตั่งศาลเจ้า) ยังไม่มีร่างทรงตี่ฮู้อ่องเอี่ย ตราบจนถึงปัจจุบัน

(รูปที่5 ป้ายสรรเสริญตี่ฮู้อ่องเอี่ย)
ข้อมูลจากหนังสือประวัติ เจ้าพ่อเล่าเอี่ยก๊ง (นายฉ้วน เบ่งฮ้อ, นายประเสริฐ สกุลประดิษฐ์, นายแจ้ง สกลธวุฒิ)
เรียบเรียงปรับปรุงข้อมูล หลิมเบ่งถ้อง สุนทรากร

(รูปที่1 เทพเจ้าตี่ฮู้อ่องเอี่ย)
นับเป็นช่วงอายุคน ก็กว่า 5 ชั่วคนมาแล้ว ได้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมาในหมู่บ้านบางตะโล๊ะ ซึ่งมีชาวไทยพุทธและชาวไทยเชื่อสายจีน อยู่อาศัยเป็นส่วนมาก และมีหมู่บ้านไกล้เคียงเป็นชาวมุสลิม อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล ประกอบอาชีพประมงชายฝั่ง (อวนทับตลิ่ง) เรื่องราวได้เกิดขึ้นเมื่อบิดานายคง ซึ้งเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน ได้ไปขอปลาชาวมุสลิมที่ได้ประกอบอาชีพประมงชายฝั่ง ได้เิกิดมีเทวรูปเทพเจ้าจีนอวนขึ้นมาด้วย
เมื่อชาวมุสลิมเห็นดังนั้น จึงเรียกบิดานายคง ให้มาช่วยเอาเทวรูปจีนออกจากอวนนั้นเสีย เมื่อบิดานายคงมองเห็นเทวรูปเทพเจ้าจีน ซึ่งมีหอย เพรียงเกาะติดตามองค์เทวรูปเต็มไปหมด บิดานายคงได้อุ้มเทวรูปเทพเจ้าจีนขึ้นมา ทันทีที่ได้อุ้มเทวรูปเทพเจ้าจีนขึ้นมานั้น บิดานายคงลืมตัวว่าตัวเองเป็นคุดทะราด เหมือนมีสิ่งที่มองไม่เห็นเข้าประทับร่างจึงกอดเทวรูปเทพเจ้าจีนไว้แน่นแล้ววิ่งย่ำบนกอหญ้าลูกลมที่มีความแหลมคมมาก โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่ประการใดแต่ตนยังคงอุ้มเทวรูปเทพเจ้าจีนวิ่งลุยดงหญ้าลูกลมจุนเกิดบาดแผลเลือดไหลและได้วิ่งลงคลองข้ามฝั่งมายังหมู่บ้านบางตะโล๊ะ และได้นำเทวรูปเทพเจ้าจีนองค์นั้นวางไว้ที่กอเตย ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบันของศาลเจ้านั้นเอง และได้ไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านในขณะนั้น คือแปะตัน
เมื่อแปะตันทราบขาวก็ได้เกณฑ์ชาวบ้านมาดู แกะหอยเพรียงที่เกาะตามองค์เทวรูปเทพเจ้าจีนออก และได้ นำมาวางไว้ ณปะรำพิธี รมกำยาน ธูปและประโคมล่อก๊อ เพื่อให้ทิพยญาณของเทพเจ้ามาสถิตย์ ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ปะรำพิธีเกิดสั่นคอลอนขึ้นมา แปะตันเห็นดังนั้นจึงได้สร้างศาลเจ้าชั่วคราวขึ้นมาเพื่อประดิษฐานเทวรูปเทพเจ้าจีนองค์นั้น หลังจากนั้นไม่นานนัก อาการเจ็บปวดเรื่อรังจากคุดทะราดของบิดานายคงได้หายไปอย่างปลิดทิ้ง
หากมีผู้ใดเจ็บป่วยไปบนขอ ก็จะหายป่วยตามคำบนบาน เกิดเป็นปาฏิหาริย์ไปทั่วสารทิศ โดยเฉพาะชาวบ้านที่อยู่อาศัยอยู่ตามระแวกไกล้เคียงได้เกิดเลื่อมใสพากันมากราบไหว้บูชากันไม่ขาดสาย แม่นจะบนบานเรื่องอะไรก็จะสัมฤทธิ์ผลตามปราถนา

(รูปที่2 ป้ายศาลเจ้า จารึกชื่อศาลเจ้าไว้ว่า ซิ่นเฮงเกียง)
หากประสบเคราะห์ภัยร้ายแรง เช่นว่า เรือเดินทะเลประสบคลื่นลมพายุ เมื่อนึกถึงท่านลมพายุจะสงบลงทันตา บรรดาโรคระบาด สมัยนั้นเรียกว่าห่า เช่นไข้ทรพิษ อหิวาต์ ที่ได้ฉุดคร่าผู้คนหมู่บ้านไกล้เคียงไปมากแต่กลับไม่ส่งผลให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบริเวณไกล้เคียงศาลเจ้ารวมถึงผู้ที่เคารพบูชา โรคร้ายเหล่านั้นก็ไม่กล่ำกรายเข้ามาทำร้ายได้ ทำให้ผู้คนเคารพนับถือองค์ท่านมากขึ้นเป็นเท่าทวี
ล่วงรู้ไปถึงเจ้าพระยาครองเมืองสาย(ชาวมุสลิม) ในสมัยนั้นยังเป็นระบบการปกครองโดยมีผู้มีบารมีหรือเชื้อวงศ์ เจ้าพระยาหรือเจ้าครองเมืองอยู่ เรียกกันว่า พระยาแขก ท่านได้มา บนบานศาลกล่าว และคำขอสัมฤทธิ์ผลจึงได้มอง จี้ทองคำ รูปพระจันทร์เสี่ยวดวงดาว ให้แก่ท่าน

(รูปที่3 จี้ ทองคำ ดาวพระจันทร์เสี้ยว)
ต่อมาได้มีผู้รู้ประวัติและความเป็นมาของท่านได้ กล่าวว่านเทะเจ้าองค์นี้คือ องค์ ตี่ฮู้อ่องเอี่ย หรือ องค์เล่าเอี่ยก๊ง ที่คนสายบุรีทั่วไปรู้จักกัน
เมื่อล่วงถึงสมัยของเก่าเก่ เอ่งวัฒน์ แปะตันและเถ่าเก่เองวัฒน์ได้ร่วมมือกับชาวบ้านศร้างศาลเจ้าถาวรขึ้น เพื่อประดิษฐานองค์ท่าน และได้แกะเทพเจ้าภายในศาลเจ้าขึ้นมาเพิ่มเติม คือ 1.ปุ่นท่าวก๊ง 2.ม่าจ้อโป่ 3.ฮู่จ้อ(กวนอิม) แล้วจัดให้มีการพิธีเฉลิมฉลองขึ้นมาในทุกปี สมัยก่อนจะมีม้าทรง ไต่บันไดดาบ เชือดลิ้นแปะกระดาษยันต์แดง แล้วโปรยลงมาจากบันไดดาบ เอากระบีฟันตามร่างกาย เอาลูกหนามทองเหลืองฟาดไปตามตัว

(รูปที่4 กระบี่ และแซ่ ของเก่า)
รายชื่อม้าทรงตี่ฮู้อ่องเอี่ย ของศาลเจ้า สืบต่อกันมา 4 รุ่น
1.ตั่งกี่ลู้
2.ตั่งกี่วัฒน์
3.ตั่งกี่แปะจี้
4.ตั่งกี่จิ่วป่าน
หลังจากสิ้นสุด ตั่งกี่จิ้วป่าน (รุ่นที่4 นับจากก่อตั่งศาลเจ้า) ยังไม่มีร่างทรงตี่ฮู้อ่องเอี่ย ตราบจนถึงปัจจุบัน

(รูปที่5 ป้ายสรรเสริญตี่ฮู้อ่องเอี่ย)
ข้อมูลจากหนังสือประวัติ เจ้าพ่อเล่าเอี่ยก๊ง (นายฉ้วน เบ่งฮ้อ, นายประเสริฐ สกุลประดิษฐ์, นายแจ้ง สกลธวุฒิ)
เรียบเรียงปรับปรุงข้อมูล หลิมเบ่งถ้อง สุนทรากร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น